ขายของออนไลน์เลือกบริการส่งสินค้าของอะไรดี ตามมาดูข้อดีเปรียบเทียบแต่ละเจ้ากันเลย

สิ่งสำคัญพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ต้องให้ควรสำคัญเป็นอย่างยิ่ง นอกจากการขายของแล้วก็คือ การศึกษาข้อมูลเกี่ยวการช่องทางการส่งสินค้าของเราให้ลูกค้า ซึ่งถ้าเราศึกษาข้อมูลยิ่งละเอียดเท่าไหร่ เราจะก็ยิ่งได้กำไรและได้ความไว้วางใจ โดยปัจจุบันธุรกิจบริการส่งสินค้าหรือพัสดุเติบโตมากขึ้น เพื่อรองรับกับร้านค้าออนไลน์ที่เปิดเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้บริษัทหรือองค์กรที่มีปริการรับส่งสินค้าในปัจจุบันก็มีหลายเจ้าให้เราได้เลือกใช้ให้ตรงกับสินค้าและบริการ ตลอดจนพื้นที่ของกลุ่มลูกค้าของเรา ซึ่งแต่ละเจ้าก็จะมีค่าบริการในการส่ง พื้นที่ในการส่ง และระยะเวลาในการจัดส่งสินค้าของเราให้ถึงมือลูกค้าตามนโยบายของบริษัทที่แตกต่างกันออกไป ในบทความนี้เราจะรวมเอาธุรกิจที่ทำบริการส่งสินค้าและพัสดุแต่ละที่มาให้พ่อเค้าแม่ค้าที่กำลังหาข้อมูลว่าใช้บริการเจ้าไหนแล้วจะเหมาะสมกับร้านค้าของตนเองและทำให้ลูกค้าพึ่งพอใจได้ ไปดูกันเลย

1. ไปรษณีย์ไทย

ไปรษณีย์ไทยถือได้ว่าเป็นธุรกิจการส่งสินค้าที่ได้รับความนิยมในการส่งสินค้ามาอย่างยาวนาน เห็นได้จากการขยายสาขาบริการไปทั่วประเทศกว่า 1,200 สาขา โดยเราจะได้ว่าไปรษณีย์ไทยค่อยๆ มีการพัฒนาระบบการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ เช่น ระบบการติดตามสินค้าขณะขนส่ง การส่งแบบด่วนพิเศษ การเพิ่มเคาน์เตอร์รับส่งสินค้าโดยไม่ต้องรอคิว ตลอดจนการมีระบบคำนวณอัตราค่าบริการตามน้ำหนักของพัสดุให้เราได้คำนวณค่าใช้จ่ายก่อน เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการซื้อขายสินค้าออนไลน์กันมากขึ้นของคนไทย

ปัจจุบันไปรษณีย์ไทย มีรูปแบบการส่งสินค้าให้เราเลือก 2 รูปแบบหลักได้แก่ แบบแรกการส่งแบบธรรมดา ซึ่งจะมีค่าบริการที่ต่ำ สามารถส่งสินค้าตั้งแต่ขนาดเล็กและเบา อาทิ เอกสารต่างๆ ไปจนสินค้าขนาดใหญ่และหนักได้ ทั้งนี้การส่งแบบนี้จะให้ระยะเวลาที่นานและพ่อค้าแม่ค้า ตลอดจนลูกค้าไม่สามารถติดตามสถานะของสินค้าได้ ทำได้เพียงรอรับสินค้าจนกว่าจะมาถึงเท่านั้น

แบบที่สอง การส่งแบบลงทะเบียน การส่งสินค้าในรูปแบบนี้พ่อค้าแม่ค้า หรือลูกค้า (ในกรณีที่ลูกค้าเป็นผู้จ่ายค่าขนส่งเอง) จะต้องมีค่าใช้จ่ายในการขนส่งเพิ่มขึ้นราคาสูงขึ้นจากส่งแบบธรรมดา น้ำหนักของกล่องพัสดุห้ามเกิน 2 กิโลกรัม ใช้เวลาในการจัดส่งประมาณ 3-7 วัน และตรวจสอบสถานะได้แค่ต้นทางกับปลายทางเท่านั้น

แบบสุดท้าย การส่งแบบ EMS การส่งสินค้าแบบนี้เหมาะกับการส่งสินค้าที่มีน้ำหนักไม่เกิน 10 กิโลกรัม โดยไปรษณีย์จะใช้เวลาส่งของถึงลูกค้าให้ภายใน 1-3 วัน และเรายังสามารถตรวจสอบสถานะของสินค้าได้ทุกขั้นตอนตั้งแต่พนักงานไปรษณีย์นำสินค้าของเราเข้าสู่ระบบ สำหรับค่าใช้จ่ายในการส่งสินค้าแบบ EMS ราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 33 บาทในพื้นที่กรุงเทพฯ ส่วนพื้นที่ต่างจังหวัดค่าบริการจะเริ่มต้นที่ 39 บาท

อ่านเพิ่มเติม : การส่งของทางเครื่องบินในประเทศ

2. Kerry Express

หากพ่อค้าแม่ค้าคนใดที่กำลังมองหาบริษัทรับส่งสินค้าที่จะช่วยเราส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับไม่ต้องกังวลว่าสินค้าของเราจะเสียหายระหว่างการขนส่งเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ลูกค้า ขอแนะนำบริการของ Kerry Express เนื่องจากจุดเด่นของ Kerry คือการเปิดให้บริการจัดส่งพัสดุแบบด่วน โดยจะจัดส่งให้ถึงมือลูกค้าเราภายในวันถัดไป และยังให้บริการแบบ Easy-ship หรือการใช้งานผ่านแอปพลิเคชั่น ทั้งนี้แม้ว่าจะเพิ่งเปิดให้บริการในประเทศไทยไม่กี่ปีแต่ปัจจุบัน Kerry ได้รับความนิยมจากทั้งพ่อค้าแม่ค้าและลูกค้าที่ใช้บริการอย่างมาก เห็นได้จากการขยายสาขาในการรับส่งสินค้าออกไปแล้วมากกว่า 5,500 สาขาทั่วประเทศ

ด้านราคาค่าจัดส่งพัสดุเริ่มต้นที่ 30 บาท โดยคิดจากขนาดและน้ำหนักของพัสดุ วิธีการส่งพัสดุผู้ใช้บริการสามารถจัดส่งพัสดุได้ตามจุดและสาขาการให้บริการ หรือสามารถระบุพิกัดที่ต้องการให้พนักงานของ Kerry มารับพัสดุที่ถึงที่ก็ได้ นอกจากนี้อีกหนึ่งบริการที่น่าสนใจของ Kerry ก็คือ การอำนวยความสะดวกในเรื่องการชำระเงินตั้งแต่การจ่ายด้วยเงินสด ชำระผ่านบัตรเครดิต บัตรเดบิต การชำระในแบบ QR code ตลอดจนการเก็บเงินปลายทางกับลูกค้า ซึ่งเราสามารถเลือกได้ตามความต้องการได้เลย

3. SCG Express

สำหรับพ่อค้าแม่ค้าที่พึ่งเริ่มธุรกิจหลายคนอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับบริษัทขนส่งสินค้าที่ชื่อว่า SCG Expressแต่เจ้าบริษัทนี้เป็นบริษัทที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ในประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว โดยหลังจากที่เริ่มขยายสาขาในประเทศไทยโดยเปิดให้บริการจัดส่งพัสดุในหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบธรรมดา พัสดุแบบแช่เย็นหรืออาหารแช่แข็ง และบริการที่เจ้าของร้านค้าที่ขายอาหารสดจะต้องชื่นชอบก็คือการส่งสินค้าจำพวกผักผลไม้สด อาหารทะเล เป็นต้นนั้น กระแสตอบรับจากผู้ใช้บริการก็เริ่มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะความใส่ใจในการบริการ ทั้งการใช้ระยะเวลาการจัดส่งที่รวดเร็วและการมีระบบการจัดส่งแบบควบคุมอุณหภูมิหากเป็นอาหารสด ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการขนส่งที่ไม่แรงเกินไป โดยราคาเริ่มต้นของการขนส่งในภูมิภาคเดียวกันอยู่ 40 บาท และถ้าหากเป็นการส่งสินค้าข้ามภูมิภาคค่าใช้จ่ายในการส่งจะเริ่มต้นที่ 50 บาทนั้นเอง

4. DHL

หลายๆ คนคงคุ้นเคยกับโลโก้ของ DHL มาบ้างแล้วแต่อาจจะยังไม่รู้ว่า DHL เป็นบริษัทขนส่งที่มีต้นกำหนดจากประเทศเยอรมันโดยเริ่มจากการเปิดให้บริการจัดส่งเอกสารทางเครื่องบินเท่านั้น แต่ภายหลังได้พัฒนารูปแบบการให้บริการรับส่งสินค้าจนได้เป็นที่นิยมไปทั่วโลก

รูปแบบการส่งสินค้าของ DHL ก็คือจะเปิดให้บริการทั้งจัดส่งพัสดุทั้งขนาดเล็กและเบาไปจนสินค้าที่มีขนาดใหญ่อย่างสินค้าจำพวกเฟอร์นิเจอร์ โดยให้บริการส่งทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ส่วนค่าใช้จ่ายในการจัดส่งสินค้าแบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ แบบแรกหากเป็นสินค้าที่จัดส่งในพื้นที่กรุงเทพฯ ค่าบริการจะเริ่มต้นที่ 40 บาท และแบบที่สองหากพ่อค้าแม่ค้าจะจัดส่งไปในพื้นที่ต่างจังหวัด ค่าบริการจะเริ่มต้นที่ 50 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดและน้ำหนักของสินค้าที่เราจะส่งด้วยนั้นเอง ซึ่งขั้นตอนการไปส่งของนั้นนอกจากเราจะไปใช้บริการที่สาขาแล้ว ในกรณีที่จะต้องจัดส่งสินค้าหลายชิ้นเรายังสามารถติดต่อให้เจ้าหน้าที่ของ DHL มารับพัสดุของเราที่บ้านที่ที่ออฟฟิศได้เลย