แบรนด์สินค้าเริ่มมุงเน้นการขยายผ่านระบบออนไลน์กันมากขึ้น โดยการขายในออนไลน์นั้นจริงๆแล้วเราได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีนเนื่องจากประเทศจีนเนี่ยเป็นประเทศที่ค่อนข้างใหญ่ แต่ด้วยเทคโนโลยีของ 5G ส่งผลให้การค้าขายของพ่อค้าแม่ค้าในจังหวัดห่างไกลนั้นทำได้ง่ายขึ้น คนจีนก็เลยจะนิยมขายของผ่านออนไลน์ โดยเขาขายได้ตั้งแต่ พื้นผักสวนครัว โรงงานขายวัตถุดิบ ส่งถึงลูกค้ารายยย่อย
ทำให้เกิด platform มากมายเพื่อมาช่วยเหลือ พ่อค้าแม่ค้าเหล่านี้ ในจีนนั้นมีหลาย platform มากที่ส่งเสริมการขายออนไลน์อย่างเช่น AliExpress live , Alibaba express แต่ต่อมาเมื่อผู้ที่เป็นเจ้าของแบรนด์เอง เริ่มมองเห็นประโยชน์จากการขายของเองโดยไม่ผ่านตัวกลางนั้นจะทำให้เกิดกำไรมากกว่า จึงเกิด platform ที่เรียกว่า social commerce
Social commerce คืออะไร social commerce คือการนำสินค้าของตนเองนั้นลงไปใน social media ต่างๆที่เราใช้อยู่แล้ว หลายๆแบรนด์สินค้าต้องมีการโปรโมท ผ่าน facebook , Line , twitter , Instagram ดังนั้น platform เหล่านี้เมื่อรู้ว่าพ่อค้า แม่ค้านอกจากโปรโมทสินค้ายังพึงพาเพื่อทำ social commerce ด้วย ดังนั้นทาง platform จึงเริ่มพัฒนา ให้ social media ของตัวเองนั้นสามารถทำการค้าขายแบบ social commerce ได้เต็มรูปแบบ
ยกตัวอย่าง platform ที่ปรับเพิ่มช่องทาง จะมีดังนี้
- Facebook มีการสร้าง feature เพิ่มเติมอย่าง Facebook marketplace เพื่อให้เหล่าเจ้าของแบรนด์สามารถนำสินค้าไปขายบน platform ได้ และ ให้ผู้ที่สนใจหาได้ง่ายขึ้น
- Instagram จริงๆ IG มีการสร้าง platform Instagram shopping มาสักพักใหญ่แล้ว เพียงแต่เพิ่งมาเริ่มให้คนไทยได้ใช้งานไม่นานมานี้ ซึ่งก็ตอบโจทย์สำหรับแม่ค้า หรือ สาวๆ ที่นิยมเล่น IG อยู่แล้ว ก็สามารถเลือกซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น
- Line เป็นอีก หนึ่ง platform ที่ฮิตที่สุดในเมืองไทย เพื่อใช้ติดต่อสื่อสารคุยงาน ดังนั้น Line จึงมองเห็นโอกาส ในการทำ E-commerce ในประเทศไทย ผ่านระบบ Line shopping
รู้จักฟีเจอร์ของเรา
สมัครสมาชิก
วันนี้เราจะบอกเทคนิคดีๆที่จะเพิ่มศักยภาพ social commerce ให้ดีขึ้นด้วยเทคนิคแสนง่าย ใครๆก็สามารถทำได้
ไปนั่งในใจลูกค้า
เรียกว่าเป็นเรื่อง พื้นฐานเลย ที่ว่าเราจะต้องรู้ให้ได้ว่า ลูกค้านั้นต้องการอะไร อยากได้อะไร เพื่อค้นหา need ของลูกค้า เพราะการที่เราจะขายสินค้า หรือออกสินค้าใหม่ เราอาจจะใช้กลยุทธ์ customer centric มองลูกค้าเป็นศูนย์กลาง หลักการดังกล่าวสามารถนำมาต่อยอด social commerce ได้ เบื้องต้นเราอาจจะลองทำ survey ง่ายๆ หรือ อ่าน comment หรือ feedback ของลูกค้า ว่าเขาต้องการอะไร และนำมาปรับใช้กับสินค้าของเรา เพิ่มสีของสินค้าไหม สินค้าเราจับยากหรือเปล่า แต่ข้อสำคัญเลย อย่าถามคำถามชี้นำให้กับลูกค้า
ตามเทรนด์ตลาดสม่ำเสมอ
ถึงจะไม่ได้เรียนการตลาดมา ก็สามารถหาความรู้เพิ่มเติมได้จากการไปอบรม หรือ ฟังสัมมนา เพื่ออัพเดทเทรนตลาดว่าปัจจุบันคนนิยมอ่านเนื้อหาแบบไหน หรือ เทคนิคใหม่ๆในการยิง ads ให้น่าสนใจไม่จำเจ ทำให้คนหยุดดูโฆษณาของเรา เพื่อทำให้ Social commerce ของเรานั้นเติบโตในตลาดออนไลน์มากขึ้น
ทำให้ง่ายเข้าไว้ อย่าซับซ้อน
ทุกคนต้องเคยซื้อขายผ่านระบบ Shopee , Lazada เราจะเห็นว่าการตั้งค่าปุ่ม หรือ กดกดใส่ตะกร้าถึงฟังก์ชั่นนั้นง่ายมาก ไม่ซับซ้อน การสมัครก็ไม่ยุ่งยาก การจะทำให้ Social commerce ของเรานั้นเข้าถึงลูกค้า การดีไซน์เว็บไซต์ก็เป็นสิ่งสำคัญ หากลูกค้าจะต้องเข้าหลายเมนู กดเลือกหลากหลายขั้นตอน
ทำให้ลูกค้ารู้สึกมีส่วนร่วม
การมีช่องทางให้เขาสามารถแสดงความคิดเห็นของสินค้าหรือระบบได้ และมีการโทรไปสอบถามถึงการใช้งานเป็นระยะๆ จะยิ่งทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า เว็บไซต์ใส่ใจเขา เห็นเขาเป็นคนสำคัญ นอกจากเราจะได้ลูกค้าดีๆกลับมาแล้ว ยังจะได้ความคิดเห็นที่ดีมาปรับปรุงระบบ social commerce ของเราอีกด้วย
แนะนำได้ว่าเขาต้องการอะไร
ระบบ social commerce ถ้าเราเคยเข้าใช้ง่าย หลายๆเว็บไซต์จะมีระบบแนะนำสินค้า หรือ ช่วงเวลาที่เขาคำนวณมาแล้วว่าเราอาจจะต้องใช้ เพราะซื้อประจำทุกเดือน หรือ สัปดาห์ ก็เป็นอีก หนึ่งฟังก์ชั่นที่เราต้องคำนึงถึงด้วย
แต่สำหรับใครที่กำลังระบบจัดการร้านค้าออนไลน์ และฟรีด้วย เราขอแนะนำระบบ Fillgoods ที่จะมาตอบโจทย์พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่ครอบคลุมทุกการจัดส่ง ตอบโจทย์ทุการขาย ใช้ได้ทุกฟีเจอร์แบบไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้งระบบสร้างสต๊อกสินค้า โปรแกรมไลฟ์สดดูด CF ระบบสร้างออเดอร์ พิมพ์ใบปะหน้าออเดอร์ และระบบเรียกรถขนส่งพัสดุ รองรับสินค้าแบบ COD เช็คเงินได้วันต่อวัน โอนเงินค่า COD คือร้านค้าภายใน 1 วัน
มีปัญหาเรื่องธุรกิจออนไลน์ อยากใช้ระบบจัดการร้านค้า โทรปรึกษา Fillgoods ฟรี!
วันจันทร์ – วันศุกร์
เวลา 09.00 – 18.00 น.