อย่างที่เราทราบกันดีว่า Social Media ยอดนิยมมากที่สุดในปัจจุบันนี้คือ Facebook หลากหลายแบรนด์ต่างก็ใช้ Facebook เข้ามาเป็นตัวช่วยในการทำ การตลาดออนไลน์ เพราะจะทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง โดยเจ้าของสินค้ามักเลือกใช้บริการลงโฆษณากับ Facebook ก็เพราะมีกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการเป็นจำนวนมาก
ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายมีพฤติกรรมบริโภคที่หลากหลาย นอกจากนี้การลงโฆษณากับ Facebook ยังสามารถวัดผลทางสถิติแจ้งให้เราทราบด้วย เช่น กดไลค์ กดแชร์ คลิก ส่งข้อความ การเข้าถึง เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้เราทราบว่าโฆษณาของเรานั้นได้ให้ผลลัพธ์เป็นอย่างไร คุ้มกับเงินที่เสียไปหรือไม่ ต่างจากโฆษณาออฟไลน์แบบเก่าที่เราแทบจะไม่สามารถวัดผลตัวเลขสถิติอะไรได้เลย . เลือกชิ้นงานโฆษณาได้หลากหลาย Facebook นั้นสามารถโปรโมทโฆษณาได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ภาพเดียว ภาพสไลด์ วิดีโอ หรือคอลเลกชั่น นั่นหมายถึงคุณจะมีไอเดียมากมายในการคิด Content เพื่อทำโฆษณา ไม่ถูกตีกรอบจากการทำโฆษณานั่นเอง
แม้ว่าจะมีเหตุผลหลายประการที่ทำให้เราต้องใช้บริการลงโฆษณากับ Facebook ก็ตาม แต่ปัญหาที่หลายคนยังไม่กล้าตัดสินใจที่จะลงโฆษณาก็เพราะปัญหาค่าโฆษณาที่แพงเกินนั้นเอง ดังนั้นในบทความนี้เราได้รวบรวมเทคนิคในการทำให้ค่าโฆษณาถูกลง แต่ยอดซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น
อ่านเพิ่มเติม : วิธีลง AD โฆษณา , 5 วิธียิง Ads สำหรับร้านค้ามือใหม่ , รวมแอปฯ ตัดวิดีโอขายของฟรี
5 เทคนิคง่ายๆ ที่ช่วยลดค่าโฆษณาให้ถูกลง
1. เครื่องมือจัดการโฆษณา
สิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญอันดับแรกก็คือเครื่องมือในการจัดการโฆษณา หรือ Ads Manager ในการทำโฆษณาบน Facebook ซึ่งจะช่วยทำให้ค่าโฆษณาถูกลงได้
2. องค์ประกอบภาพโฆษณา
ภาพประกอบการทำโฆษณาบน Facebook จะต้องไม่มากเกินไป โดย Facebook ได้กำหนดไว้คือ ห้ามมีตัวหนังสือเกิน 20 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ภาพ หากมีตัวหนังสือเกินจากที่ Facebook กำหนดไว้ Facebookจะส่งโฆษณาของเราออกไปยังกลุ่มเป้าหมายน้อยลง ซึ่งหมายความว่าค่าโฆษณาของเราก็จะยิ่งแพลงขึ้น ดังนั้นก่อนที่จะลงโฆษณาเราจะต้องเช็คเสมอว่าภาพที่ใช้ประกอบการโฆษณาของเราเกิน 20 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ภาพหรือไม่
3. ปรับงบโฆษณาให้เหมาะสม
เลือกใช้การปรับให้เหมาะสมกับงบโฆษณาแคมเปญของเรา หรือ Campaign Budget optimisation (CBO) โดยเจ้าตัวนี้จะเป็นปุ่มเปิดปิด เพื่อให้ Facebook ช่วยเราจัดสรรงบโฆษณาแทนเรา ทำให้ต้นทุนต่อผลลัพธ์ของเราต่ำที่สุด โดยหาก Facebook พบว่าชุดโฆษณาตัวไหนดี กลุ่มเป้าหมายกลุ่มไหนดี Facebook ก็จะใช้งบโฆษณากับตัวนั้นมากที่สุด ดังนั้นเราจำเป็นต้องสร้างชุดโฆษณาหลายๆ ชุดหรือหลายๆ กลุ่มเป้าหมาย เพื่อช่วยให้ Facebook สามารถมีตัวเลือกในการลงโฆษณาให้แก่เรา
วิธีการนี้พัฒนามาจากเดิมเมื่อก่อนเราต้องมานั่งกำหนดงบประมาณให้แต่ละ Ads Set ว่าแต่ควรลงเงินเท่าไหร่ แต่เมื่อเราเปลี่ยนมาเป็น Campaign Budget Optimization เราจะต้องกำหนดงบประมาณตั้งแต่หน้า “Campaign” เลยนั่นเอง โดย Facebook จะมีหน้าที่ช่วยเหลือในการจัดสรรงบประมาณที่เราลงไว้ในแคมเปญ กระจายออกไปให้กับชุดโฆษณาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และคุ้มค่ามากที่สุด การเปลี่ยนแปลงนี้ AI ของ Facebook จะเข้ามาช่วยในการจัดสรรเงินให้คุ้มค่าที่สุดก็จริง แต่ในบางครั้งตัวเราอาจจะไม่ได้อยากจะลงเงินกับชุดโฆษณานี้มากเกินไป Facebook ก็ไม่ได้ใจร้ายบังคับ เพราะในหน้า Ads Set เราสามารถตั้งค่ากำหนดวงเงินใช้จ่ายของชุดโฆษณา หรือ Ad Set Spend Limits ได้
วิธีใช้ Campaign Budget Optimization นั้นไม่ยาก เพียงแค่เราเข้าไปที่ Ads Manager > กด Create > เลือก Objective ที่เราต้องการ > เลือก Campaign Budget Optimization ให้เป็น ON เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว
4. สร้างกลุ่มเป้าหมายรอง
เราควรสร้างกลุ่มเป้าหมายรอง ประมาณ 1-3 กลุ่มเป้าหมาย เนื่องจากการยิงโฆษณาไปที่กลุ่มเป้าหมายหลักของเราเพียงกลุ่มเดียวจะทำให้เราต้องสู้กับผู้ลงโฆษราคนอื่นๆ ที่มีกลุ่มเป้าหมายเดียวกับเราซึ่งจะทำให้ค่าโฆษณาของเราแพงขึ้น หากู่แข่งของเรามีเยอะ ดังนั้นให้เราสร้างกลุ่มเป้าหมายรอง เพื่อเลี่ยงการแข่งขัน วิธีนี้จะทำให้ค่าโฆษณาเฉลี่ยของเราถูกลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่ากลุ่มเป้าหมายรองจะสู้กับกลุ่มเป้าหมายหลักไม่ได้ แต่อย่างน้อยเราสามารถเพิ่มฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้นได้ แต่บางครั้งเราสามารถนำสถิตินี้มาเปรียบเทียมได้ว่ากลุ่มเป้าหมายไหนที่ให้ประสิทธิภาพและยอดขายให้เราได้ ถ้าไม่ดีเราสามารถเปลี่ยนได้ แต่วิธีนี้เวิร์คนั้นหมายความว่าเราได้ลูกค้าหน้าใหม่เพิ่มขึ้นด้วย
5. อย่าลงโฆษณาชิ้นเดิม ๆ
การหลีกเลี่ยงการลงโฆษณาชิ้นเดิม เนื่องจากการปล่อยโฆษณาชิ้นเดิมต่อเนื่องยาวนานเกินไปจะส่งผลให้คนที่เห็นโฆษณานั้นซ้ำหลายๆ ครั้ง มีผลให้กลุ่มเป้าหมายชินหรือไม่เกิดการสะดุดสายตาของกลุ่มเป้าหมายได้ ดังนั้นหากเราจะลงโฆษณาแต่ละครั้งให้ตระหนักถึงความสำคัญข้อนี้เสมอว่า “สิ่งใดที่ไม่สะดุดสายตา สิ่งนั้นไม่ดึงดูดความสนใจ” วิธีแก้ไขก็คือเราควรจะหยุดโฆษณาที่เคยลงไปแล้วและไม่ได้รับการตอบสนองจากกลุ่มเป้าหมายแบบทะลุเป้า และควรการสร้างโฆษณาชิ้นใหม่ หรือหากเราไม่มีเวลามากให้ใช้โฆษณาเดิมแต่เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายใหม่อาจเป็นกลุ่มเป้าหมายรองที่เรากำหนดไว้ ในการพิจารณาว่าโฆษณานั้นมีคนเห็นซ้ำมากจนไม่เป็นที่น่าสนใจแล้ว
สุดท้ายหากลองทำตามเทคนิคข้างต้นแล้ว สิ่งสำคัญที่เจ้าของธุรกิจจะต้องคอยประเมินอยู่เสมอก็คือการพิจารณาว่าโฆษณาตัวไหนดีแล้วเราควรเพิ่มงบกับโฆษณาตัวไหน แพงเกินควร ถึงยิงแล้วลูกค้าเข้าก็ไม่คุ้ม เราควรปิดหรือปรับปรุงใหม่ เพื่อให้โฆษณาของเรามีประสิทธิภาพสูงสุดนั้นเอง